ความหมายของภาษา
ภาษาเมื่อแปลตามรูปศัพท์หมายถึงคำพูดหรือถ้อยคำภาษาเป็นเครื่องมือของมนุษย์ที่ใช้ในการสื่อความหมายให้สามารถติดต่อสื่อสาร
เข้าใจกันได้ โดยมีระเบียบของเสียงและเรื่องของคำเป็นเครื่องกำหนดในพจนาณุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานพ.ศ. 2525 ให้ความหมายของคำว่าภาษาคือเสียงหรือกิริยาอาการที่ทำความเข้าใจกันได้
คำพูด ถ้อยคำที่ใช้พูดจากัน
ภาษาสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ วัจนภาษา
และ อวัจนภาษา
1. วัจนภาษา
เป็นภาษาที่พูดโดยใช้เสียงที่เป็นถ้อยคำสร้างความเข้าใจกันมีระเบียบในการใช้ถ้อยคำในการพูดนอกจากนั้นยังเป็นหนังสือที่ใช้แทนคำพูดคำที่ใช้เขียนจะเป็นคำที่เลือกสรรแล้วมีระเบียบในการใช้ถ้อยคำในการเขียนและการพูดตามหลักภาษา
2. อวัจนภาษา
เป็นภาษาที่ใช้สิ่งอื่นนอกเหนือจางคำพูดและตัวหนังสือในการสื่อสารเพื่อทำให้เกิดความเข้าใจ
ภาษาที่ไม่เป็นถ้อยคำได้แก่
ท่าทางการแสดงออกการใช้มือใช้แขนประกอบการพูดหรือสัญลักษณ์ต่างๆที่ใช้ในการสื่อสารสร้างความเข้าใจ
เช่น สัญญานไฟจราจร สัญญานธง เป็นต้น ภาษามีความสำคัญต่อมนุษย์มากเพราะนอกจากจะเป็นเครื่องมือในการสื่อสารแล้ว
ยังเป็นเครื่องมือแห่งการเรียนรู้และการพัฒนาความคิดของมนุษย์และเป็นเครื่องมือถ่ายทอดวัฒนธรรมและการประกอบอาชีพ
และที่สำคัญก็ คือ ภาษาช่วยสร้างเสริมความสามัคคีของคนในชาติอีกด้วยเพราะภาษาเป็นถ้อยคำที่ใช้ในการสื่อสารสร้างความเข้าใจกันในสังคม
ความหมายของภาษา
บันลือ พฤกษะวัน (2522, หน้า 5) ได้ให้ความหมายของภาษาไว้ว่า “
คือเครื่องมือที่ใช้สื่อความหมายที่สำคัญที่สุดของมนุษย์ ” เมย์ (MAY, อ้างถึง บันลือ พฤกษะวัน ,2533, หน้า5)ได้กล่าวถึงภาษาว่าการที่มนุษย์ใช้ภาษาสื่อความหมายกันได้ย่อมเป็นเครื่องแสดงว่ามนุษย์ประเสริฐกว่าสัตว์นอกจากนี้ ศุภวัตน์ ชื่นชอบ ได้ให้ความหมายของภาษาไว้ว่าภาษาคือเครื่องมือการสื่อสาร (2524, หน้า1)และพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน(2530, หน้า203)ได้ให้ความหมายของภาษาไว้ดังนี้
ภาษา หมายถึง เสียงหรือกริยาอาการที่เป็นสื่อเข้าใจความหมายรู้กันได้,คำพูด,ถ้อยคำที่ใช้พูดจากัน โดยสรุปแล้วภาษาก็คือเครื่องมือที่ใช้ในการติดต่อสื่อสารกันและกันให้เข้าใจนั่นเอง.
ความหมายของภาษา
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 ให้ความหมายของคำว่า “ ภาษา ” ไว้ว่า “ ภาษา คือ เสียงหรือกิริยาอาการที่ทำความเข้าใจกันได้ คำพูด
ถ้อยคำที่ใช้พูดกัน ” (พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน
พ.ศ. 2525 : 616) วิจินตน์ ภาณุพงศ์
อธิบายความหมายของภาษาว่า “ ภาษา หมายถึง
เสียงพูดที่มีระเบียบและมีความหมาย ซึ่งมนุษย์ใช้ในการสื่อความคิด ความรู้สึก
และในการที่จะให้ผู้ที่เราพูดด้วยทำสิ่งที่เราต้องการ และแทนสิ่งที่เราพูดถึง ”
(วิจินตน์ ภาณุพงศ์ 2524 : 85)วิไลวรรณ
ขนิษฐานันท์ ได้กล่าวถึงลักษณะสำคัญๆ อันเป็นคุณสมบัติของภาษา สรุปได้ดังนี้
(วิไลวรรณ ขนิษฐานันท์ 2526 : 2)
1. ภาษาประกอบขึ้นด้วยเสียงและความหมาย โดยนัยของคุณสมบัตินี้
ภาษาหมายถึงภาษาพูดเท่านั้น ไม่รวมถึงภาษาเขียน
ภาษาเขียนเป็นเพียงสิ่งประดิษฐ์ที่มนุษย์ใช้บันทึกภาษาพูด
2. ภาษาเป็นเรื่องของสัญลักษณ์
ซึ่งต้องมีการเรียนรู้จึงจะเข้าใจได้ว่าสัญลักษณ์นั้นมีความหมายว่าอย่างไร
3. ภาษามีระบบ เช่น การเรียงลำดับเสียง หรือการเรียงลำดับคำในประโยค
การจะใช้ภาษาให้ถูกต้องจึงต้องเรียนรู้ระเบียบและกฎของภาษานั้นๆ
4. ภาษามีพลังงอกงามอันไม่สิ้นสุด จากจำนวนเสียงที่มีอยู่
ผู้พูดสามารถผลิตคำพูดได้ไม่รู้จบ เราจึงไม่อาจนับได้ว่าแต่ละคำเท่าไร
ความหมายของภาษาอาจแยกได้เป็นความหมายโดยอรรถและความหมายโดยปริยายดังนี้
ความหมายโดยอรรถภาษา หมายถึง
1. เครื่องมือที่ใช้ในการสื่อสารความรู้ ความคิด
ความต้องการของมนุษย์เครื่องมือดังกล่าวอาจได้แก่ เสียงพูด เสียงสัญญาณต่างๆ
รูปภาพ แผนภูมิ ตัวอักษร ท่าทาง ฯลฯ
การใช้เครื่องมือดังกล่าวจะขึ้นอยู่กับข้อตกลงในกลุ่มชนซึ่งผู้ใช้จะต้อง เรียนรู้
เพื่อทำความเข้าใจกันได้
2. การติดต่อ การสื่อความรู้สึก ในหมู่สัตว์ด้วยกัน ได้แก่ การใช้เสียง ท่าทาง
ฯลฯ
3. วิชาการแขนงหนึ่ง ว่าด้วยการศึกษาภาษาในแง่มุมต่างๆ กัน เช่น
ศึกษาเพื่อให้มีทักษะ มีความสามารถในการฟัง พูด อ่าน เขียน
หรือศึกษาเพื่อรู้ระเบียบโครงสร้างของภาษา ฯลฯ
ความหมายโดยปริยาย เป็นความหมายเชิงเปรียบเทียบ ภาษา อาจหมายถึง
1. ความรู้ ความเข้าใจ ความมีทักษะในการ ฟัง พูด อ่าน เขียน
2. กลุ่มชน เผ่า หรือชนชาติ
3. ระเบียบ แบบแผน แบบอย่างอาจกล่าวโดยสรุปว่า “ ภาษา ” หมายถึง เครื่องมือในการสื่อความหมายซึ่งใช้ถ่ายทอดความคิด
ความรู้สึก ความต้องการของตนให้ผู้อื่นทราบ ไม่ว่าจะเป็นเสียงพูด ถ้อยคำ
กิริยาอาการ หรือสัญลักษณ์ต่าง ๆ
สรุป
ภาษาคือสัญลักษณ์ที่ใช้สื่อสารและสามารถถ่ายทอดความรู้สึกได้
ความสำคัญของภาษา
ภาษาไทยเป็นเอกลักษณ์ประจำชาติ
เป็นสมบัติทางวัฒนธรรมอันก่อให้เกิดความเป็นเอกภาพและเสริมสร้างบุคลิกภาพของคนในชาติให้มีความเป็นไทยเป็นเครื่องมือในการติดต่อสื่อสารเพื่อสร้างความเข้าใจและความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันทำให้สามารถประกอบกิจธุรการงานและดำรงชีวิตร่วมกันในสังคมประชาธิปไตยได้อย่างสันติสุข
และเป็นเครื่องมือในการแสวงหาความรู้ประสบการณ์จากแหล่งข้อมูลสารสนเทศต่างๆ
เพื่อพัฒนาความรู้
ความคิดวิจารณ์และสร้างสรรค์ให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์
เทคโนโลยี (กรมวิชาการ. ๒๕๔๕ : ๓-๖)
จำเป็นอย่างยิ่งมนุษย์ต้องอาศัยภาษาติดต่อสื่อสาร
ถ้าหากขาดสาระสำคัญแล้วมนุษย์คงไม่สามารถรวมกันเป็นสังคมได้
ทั้งนี้เพราะมนุษย์เป็นสัตว์สังคม มนุษย์อาจที่จะอยู่โดดเดี่ยวตามลำพัง
แต่จะต้องติดต่อไปมาหาสู่กันต้องอยู่รวมกันเป็นหมู่เหล่าภาษาที่เขาใช้
ด้วยเหตุนี้อาจกล่าวได้ว่า “ภาษาเป็นเครื่องมือทางสังคม” ก็คงไม่ผิด
สำหรับทักษะทางภาษาที่มนุษยชาติต่างๆใช้ติดต่อสื่อสารกันก็คือ
ภาษาศิลป์หรือศิลปะทางภาษานั่นเองอันได้แก่ การฟัง การพูด การอ่าน และการเขียน
มนุษย์อาศัยทักษะทั้ง 4 ประการที่กล่าวมานี้เสริมสติปัญญาและความรู้สึกนึกคิด
พัฒนาอาชีพและพัฒนาบุคลิกภาพ รวมทั้งสิ่งอื่นๆ อีกมากให้กับตนเองและสังคม
ด้วยเหตุผลดังกล่าวภาษาจึงมีบทบาทและความสำคัญสำหรับบุคคลทุกคนของทุกชาติ (วรรณี
โสมประยูร. ๒๕๔๔ : ๑๖)
นอกจากนี้ภาษาไทยยังเป็นสื่อที่แสดงให้เห็นถึงภูมิปัญญาทางบรรพบุรุษ
ด้านวัฒนธรรมประเพณี และสุนทรียภาพโดยการบันทึกไว้เป็นวรรณคดีและวรรณกรรมอันล้ำค่าภาษาไทยจึงเป็นสมบัติของชาติที่ควรค่าแก่การเรียนรู้
เพื่ออนุรักษ์และสืบสานให้คงอยู่คู่ชาติไทยตลอดไป ซึ่งความสำคัญของภาษาไทย สามารถสรุปได้ว่าเป็นเครื่องมือในการติดต่อสื่อสารเป็นเครื่องมือในการเรียนรู้
ความรู้และประสบการณ์อันมีคุณค่าของบรรพบุรุษ เป็นเครื่องมือเสริมสร้างความเข้าใจอันดีต่อกันเป็นเครื่องมือสร้างเอกภาพของชาติและเป็นเครื่องมือช่วยจรรโลงใจ
ดังนั้นครูภาษาไทยจึงมีความสำคัญ ต่อการดำรงชีวิตและความเป็นปึกแผ่นของสังคมไทย
คนไทยจึงจำเป็นต้องตระหนักถึงความสำคัญของภาษาไทย ต้องทำความเข้าใจและศึกษาหลักเกณฑ์ของภาษาและฝึกฝนให้มีทักษะฟัง
พูด อ่าน และเขียน ภาษาไทยให้มีประสิทธิภาพ เพื่อนำไปใช้ในการสื่อสาร การเรียนรู้
การเสริมสร้างความเข้าใจอันดีต่อกันการสร้างความเป็นเอกภาพของชาติ
และความจรรนโลงใจเพื่อเกิดประโยชน์แก่ตนเอง ชุมชนสังคม และประเทศชาติ (กรมวิชาการ.๒๕๔๕
: ๓-๖ )
ความสำคัญของภาษา
- ภาษาเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการสื่อสารของมนุษย์ มนุษย์ติดต่อกันได้ เข้าใจกันได้ก็ด้วยอาศัยภาษาเป็นเครื่องช่วยที่ดีที่สุด
- ภาษาเป็นสิ่งช่วยยึดให้มนุษย์มีความผูกพันต่อกันเนื่องจากแต่ละภาษาต่างก็มีระเบียบแบบแผนของตน ซึ่งเป็นที่ตกลงกันในแต่ละชาติแต่ละกลุ่มชน การพูดภาษาเดียวกันจึงเป็นสิ่งที่ทำให้คนรู้สึกว่าเป็นพวกเดียวกันมีความผูกพันต่อกันในฐานะที่เป็นชาติเดียวกัน
- ภาษาเป็นวัฒนธรรมอย่างหนึ่งของมนุษย์และเป็นเครื่องแสดงให้เห็นวัฒนธรรมส่วนอื่นๆของมนุษย์ด้วยเราจึงสามารถศึกษาวัฒนธรรมตลอดจนเอกลักษณ์ของชนชาติต่างๆได้จากศึกษาภาษาของชนชาตินั้นๆ
- ภาษาศาสตร์มีระบบกฎเกณฑ์ ผู้ใช้ภาษาต้องรักษากฎเกณฑ์ในภาษาไว้ด้วยอย่างไรก็ตาม กฎเกณฑ์ในภาษานั้นไม่ตายตัวเหมือนกฎวิทยาศาสตร์ แต่มีการเปลี่ยนแปลงไปตามธรรมชาติของภาษา เพราะเป็นสิ่งที่มนุษย์ตั้งขึ้น จึงเปลี่ยนแปลงไปตามกาลสมัยตามความเห็นชอบของส่วนรวม
- ภาษาเป็นศิลปะ มีความงดงามในกระบวนการใช้ภาษา กระบวนการใช้ภาษานั้น มีระดับและลีลา ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆหลายด้าน เช่น บุคคล กาลเทศะ ประเภทของเรื่องฯลฯ การที่จะเข้าใจภาษา และใช้ภาษาได้ดีจะต้องมีความสนใจศึกษาสังเกตให้เข้าถึงรสของภาษาด้วย
- http://khamkhunhome01.exteen.com/20071105/entry
ความสำคัญของภาษา
บันลือ พฤกษะวัน(2522, หน้า 13-16) กล่าวว่า
ภาษายังเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องมีการถ่ายทอดการเรียนรู้จึงจะสามารถใช้และสื่อความหมายกันได้ดังนั้นภาษาจึงมีความสำคัญต่อการเรียนรู้และได้กล่าวถึงลักษณะสำคัญของภาษาไว้ดังนี้
1. มนุษย์สามารถใช้ภาษาในการติดต่อทำความเข้าใจกันได้ กล่าวคือ
สามารถใช้ภาษาแสดงความต้องการทางร่างกายและจิตใจด้วย
2. มนุษย์ใช้ภาษาเป็นกิจกรรมสำคัญและจำเป็นในการดำรงชีวิต
3. ภาษาเป็นทักษะที่ต้องเรียนรู้และฝึกฝนโดยเน้นการฝึกฝนที่ถูกวิธีเพื่อให้สอดคล้องกับการดำเนินชีวิตในประจำวัน
4. ภาษาเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นในสังคมเพราะต้องใช้ในการติดต่อสื่อสารและมีการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม
5. ภาษามีความสำคัญต่อบุคคลเพราะการที่บุคคลรู้จักใช้ภาษาได้ดีขึ้นย่อมได้รับการยกย่องจากสังคม
จะเห็นได้ว่า ภาษามีความสำคัญกับชีวิตคนเรามากเพราะฉะนั้นในการจัดการเรียนการสอนเพื่อให้นักเรียนได้เรียนรู้การใช้ภาษาได้ดีขึ้น ครูต้องรู้จักหลักในการจัดประสบการณ์ทางภาษา ทั้งนี้เพื่อเด็กจะได้เกิดทักษะในการใช้ภาษาที่ดีต่อไป
สรุป
ความสำคัญของภาษา
เป็นสิ่งจำเป็นที่ในสังคมต้องใช้สื่อสาร แลกเปลี่ยนวัฒนธรรม
เพื่อความสัมพันธ์และมิตรภาพต่อกัน
ระดับของภาษา
การใช้ภาษาขึ้นอยู่กับกาลเทศะ สถานการณ์ สภาวะแวดล้อม
และสัมพันธภาพระหว่างบุคคล ซึ่งอาจแบ่งภาษาเป็นระดับต่างๆได้หลายลักษณะ เช่น (ภาษาระดับที่เป็นแบบแผนและไม่เป็นแบบแผน),(ภาษาระดับพิธีการ ระดับกึ่งพิธีการ ระดับไม่เป็นทางการ) ในชั้นเรียนนี้ เราจะชี้ลักษณะสำคัญของภาษาเป็น 5
ระดับ ดังนี้
1. ระดับพิธีการ
ใช้สื่อสารกันในที่ประชุมที่จัดขึ้นอย่างเป็นทางการ ได้แก่ การประชุมรัฐสภา
การกล่าวอวยพร การกล่าวต้อนรับ การกล่าวรายงานในพิธีมอบปริญญาบัตร ประกาศนียบัตร
การกล่าวสดุดีหรือการกล่าวเพื่อจรรโลงใจให้ประจักษ์ในคุณความดี การกล่าวปิดพิธี
เป็นต้น ผู้ส่งสารระดับนี้มักเป็นคนสำคัญสำคัญหรือมีตำแหน่งสูง
ผู้รับสารมักอยู่ในวงการเดียวกันหรือเป็นกลุ่มคนส่วนใหญ่
สัมพันธภาพระหว่างผู้ส่งสารกับผู้รับสารมีต่อกันอย่างเป็นทางการ
ส่วนใหญ่ผู้ส่งสารเป็นผู้กล่าวฝ่ายเดียว ไม่มีการโต้ตอบ ผู้กล่าวมักต้องเตรียมบทหรือวาทนิพนธ์มาล่วงหน้าและมักนำเสนอด้วยการอ่านต่อหน้าที่ประชุม
2. ภาษาระดับทางการ
ใช้บรรยายหรืออภิปรายอย่างเป็นทางการในที่ประชุมหรือใช้ในการเขียนข้อความที่ปรากฏต่อสาธารณชนอย่างเป็นทางการ
หนังสือที่ใช้ติดต่อกับทางราชการหรือในวงธุรกิจ ผู้ส่งสารและผู้รับสารมักเป็นบุคคลในวงอาชีพเดียวกัน
ภาษาระดับนี้เป็นการสื่อสารให้ได้ผลตามจุดประสงค์โดยยึดหลักประหยัดคำและเวลาให้มากที่สุด
3. ภาษาระดับกึ่งทางการ
คล้ายกับภาษาระดับทางการแต่ลดความเป็นงานเป็นการลงบ้างเพื่อให้เกิดสัมพันธภาพระหว่างผู้ส่งสารและผู้รับสารซึ่งเป็นบุคคลในกลุ่มเดียวกันมีการโต้แย้งหรือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันเป็นระยะๆมักใช้ในการประชุมกลุ่มหรือการอภิปรายกลุ่มการบรรยายในชั้นเรียน
ข่าว บทความในหนังสือพิมพ์ เนื้อหามักเป็นความรู้ทั่วไป ในการดำเนินชีวิตประจำวัน
กิจธุระต่างๆ รวมถึงการปรึกษาหารือร่วมกัน
4. ภาษาระดับไม่เป็นทางการ
ภาษาระดับนี้มักใช้ในการสนทนาโต้ตอบระหว่างบุคคลหรือกลุ่มบุคคลไม่เกิน 4-5 คนในสถานที่และกาละที่ไม่ใช่ส่วนตัว
อาจจะเป็นบุคคลที่คุ้นเคยกัน การเขียนจดหมายระหว่างเพื่อน
การรายงานข่าวและการเสนอบทความในหนังสือพิมพ์ โดยทั่วไปจะใช้ถ้อยคำสำนวนที่ทำให้รู้สึกคุ้นเคยกันมากกว่าภาษาระดับทางการหรือภาษาที่ใช้กันเฉพาะกลุ่ม
เนื้อหาเป็นเรื่องทั่วๆไป ในการดำเนินชีวิตประจำวัน
กิจธุระต่างๆรวมถึงการปรึกษาหารือหรือร่วมกัน
5. ภาษาระดับกันเอง
ภาษาระดับนี้มักใช้กันในครอบครัวหรือระหว่างเพื่อนสนิท สถานที่ใช้มักเป็นพื้นที่ส่วนตัว
เนื้อหาของสารไม่มีขอบเขตจำกัด มักใช้ในการพูดจากัน
ไม่นิยมบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรยกเว้นนวนิยายหรือเรื่องสั้นบางตอนที่ต้องการความเป็นจริง (การแบ่งภาษาดังที่กล่าวมาแล้วมิได้หมายความว่าแบ่งกันอย่างเด็ดขาด
ภาษาระดับหนึ่งอาจเหลื่อมล้ำกับอีกระดับหนึ่งก็ได้)
https://sites.google.com/site/khwamruphasathai/home/10-radab-phasa
ระดับของภาษา
1. ภาษาระดับพิธีการ
ใช้สื่อสารในที่ประชุม ซึ่งจัดขึ้นอย่างเป็นพิธีการ เช่น การกล่าวอวยพร การกล่าวคำปราศรัย การกล่าวรายงาน การกล่าวเปิดประชุม ฯลฯ ผู้ส่งสารมักเป็นบุคคลสำคัญหรือมีตำแหน่งสูง ผู้รับสารส่วนมากเป็นบุคคลในวงการเดียวกันหรือเป็นชนกลุ่มใหญ่ สัมพันธภาพระหว่างผู้ส่งสารกับผู้รับสารมีต่อกันอย่างเป็นทางการ ส่วนใหญ่ผู้ส่งสารกล่าวฝ่ายเดียว ถ้ามีการกล่าวตอบก็กระทำอย่างเป็นทางการ สารทุกตอนมีลักษณะเป็นพิธีรีตอง ใช้ถ้อยคำที่ไพเราะกลั่นกรองมาล่วงหน้าแล้ว
2. ภาษาระดับทางการ
ใช้ในการบรรยายหรืออภิปรายอย่างเป็นทางการในการประชุมซึ่งต่อช่วงจากตอนที่เป็นพิธีการ
หรือใช้ในการเขียนข้อความที่จะปรากฏต่อสาธารณชนอย่างเป็นทางการ ในหนังสือที่ติดต่อกันทางราชการหรือในวงการธุรกิจ
ผู้ส่งสารและผู้รับสารมักจะเป็นบุคคลซึ่งมีหน้าที่และภารกิจโดยตรงในแต่ละด้าน ในวงการหรือวงอาชีพเดียวกัน สัมพันธภาพระหว่างทั้งสองฝ่ายจึงเป็นไปในด้านธุรกิจและการงาน
การใช้ภาษาระดับนี้มุ่งให้ได้ผลตามจุดประสงค์โดยเร็ว โดยประหยัดการใช้ถ้อยคำและเวลาให้มากที่สุด อาจใช้ศัพท์เฉพาะมากหรือน้อยแล้วแต่ลักษณะการประชุมและผู้รับสาร ในกรณีจำเป็น ผู้ส่งสารอาจต้องใช้คำอธิบายให้มากขึ้นก็ได้
3. ภาษาระดับกึ่งทางการ
ภาษาระดับนี้คล้ายกับภาษาระดับทางการแต่ลดความเป็นการเป็นงานลงบ้าง มักใช้ในการประชุม
กลุ่มที่เล็กกว่าการประชุมที่ต้องใช้ภาษาระดับทางการ เช่น ในการประชุมกลุ่มย่อย การบรรยายในห้องเรียน ข่าวและบทความในหนังสือพิมพ์ มักใช้ภาษาที่ทำให้รู้สึกคุ้นเคยมากกว่าภาษาในระดับทางการ และใช้ศัพท์เฉพาะเท่าที่จำเป็น
4. ภาษาระดับไม่เป็นทางการ
ใช้ในการสนทนาระหว่างบุคคลหรือกลุ่มไม่เกิน 4 – 5 คน ในสถานที่และโอกาสที่ไม่ใช่เป็นการ
ส่วนตัว เช่น ในการเขียนจดหมายระหว่างเพื่อน การรายงานข่าว การเสนอบทความในหนังสือพิมพ์ เนื้อหาของสารอาจเป็นเรื่องทั่ว ๆ ไป ไม่จำกัดเฉพาะวิชาการ ภาษาที่ใช้อาจมีถ้อยคำที่เคยใช้กันเฉพาะกลุ่ม
5. ภาษาระดับกันเอง
ใช้ในวงจำกัดที่เป็นการส่วนตัว เช่น ภายในครอบครัว เพื่อนสนิท ที่บ้านหรือห้องที่เป็นสัดส่วนโดยเอกเทศ
เนื้อหาของสารเช่นเดียวกับภาษาระดับกันเองภาษาที่ใช้มักเป็นภาษาพูดเท่านั้น ไม่นิยมบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร นอกจากใช้ในนวนิยาย บทละคร หรือเรื่องสั้น อาจใช้คำสแลงหรือคำภาษาถิ่นปะปนบ้างก็ได้
ข้อควรสังเกตเกี่ยวกับการแบ่งระดับภาษา
1. การแบ่งระดับภาษาไม่เป็นการตายตัว ภาษาแต่ละระดับอาจมีการเหลื่อมล้ำคาบเกี่ยวกันบ้าง เช่น ภาษาระดับทางการกับภาษาระดับกึ่งทางการหรือภาษาระดับกึ่งทางการกับภาษาระดับไม่เป็นทางการ
หรือภาษาระดับไม่เป็นทางการกับภาษาระดับกันเอง
2. ภาษาทั้ง 5 ระดับ ไม่มีโอกาสใช้พร้อมกัน ระดับที่ใช้มาก คือ ภาษาระดับกึ่งทางการกับภาษาระดับไม่เป็นทางการ ส่วนภาษาระดับพิธีการมีโอกาสใช้น้อยและบางคนไม่นิยมใช้ภาษาระดับกันเอง
3. ภาษาบางระดับใช้แทนที่กันไม่ได้ เช่น ภาษาระดับพิธีการ,ภาษาระดับทางการ หรือภาษาระดับทางการ,ภาษาระดับกึ่งทางการจะใช้แทนภาษาระดับไม่เป็นทางการ,ภาษาระดับกันเองไม่ได้
4. การใช้ภาษาผิดระดับจะเป็นผลเสียต่อการสื่อสาร
ใช้สื่อสารในที่ประชุม ซึ่งจัดขึ้นอย่างเป็นพิธีการ เช่น การกล่าวอวยพร การกล่าวคำปราศรัย การกล่าวรายงาน การกล่าวเปิดประชุม ฯลฯ ผู้ส่งสารมักเป็นบุคคลสำคัญหรือมีตำแหน่งสูง ผู้รับสารส่วนมากเป็นบุคคลในวงการเดียวกันหรือเป็นชนกลุ่มใหญ่ สัมพันธภาพระหว่างผู้ส่งสารกับผู้รับสารมีต่อกันอย่างเป็นทางการ ส่วนใหญ่ผู้ส่งสารกล่าวฝ่ายเดียว ถ้ามีการกล่าวตอบก็กระทำอย่างเป็นทางการ สารทุกตอนมีลักษณะเป็นพิธีรีตอง ใช้ถ้อยคำที่ไพเราะกลั่นกรองมาล่วงหน้าแล้ว
2. ภาษาระดับทางการ
ใช้ในการบรรยายหรืออภิปรายอย่างเป็นทางการในการประชุมซึ่งต่อช่วงจากตอนที่เป็นพิธีการ
หรือใช้ในการเขียนข้อความที่จะปรากฏต่อสาธารณชนอย่างเป็นทางการ ในหนังสือที่ติดต่อกันทางราชการหรือในวงการธุรกิจ
ผู้ส่งสารและผู้รับสารมักจะเป็นบุคคลซึ่งมีหน้าที่และภารกิจโดยตรงในแต่ละด้าน ในวงการหรือวงอาชีพเดียวกัน สัมพันธภาพระหว่างทั้งสองฝ่ายจึงเป็นไปในด้านธุรกิจและการงาน
การใช้ภาษาระดับนี้มุ่งให้ได้ผลตามจุดประสงค์โดยเร็ว โดยประหยัดการใช้ถ้อยคำและเวลาให้มากที่สุด อาจใช้ศัพท์เฉพาะมากหรือน้อยแล้วแต่ลักษณะการประชุมและผู้รับสาร ในกรณีจำเป็น ผู้ส่งสารอาจต้องใช้คำอธิบายให้มากขึ้นก็ได้
3. ภาษาระดับกึ่งทางการ
ภาษาระดับนี้คล้ายกับภาษาระดับทางการแต่ลดความเป็นการเป็นงานลงบ้าง มักใช้ในการประชุม
กลุ่มที่เล็กกว่าการประชุมที่ต้องใช้ภาษาระดับทางการ เช่น ในการประชุมกลุ่มย่อย การบรรยายในห้องเรียน ข่าวและบทความในหนังสือพิมพ์ มักใช้ภาษาที่ทำให้รู้สึกคุ้นเคยมากกว่าภาษาในระดับทางการ และใช้ศัพท์เฉพาะเท่าที่จำเป็น
4. ภาษาระดับไม่เป็นทางการ
ใช้ในการสนทนาระหว่างบุคคลหรือกลุ่มไม่เกิน 4 – 5 คน ในสถานที่และโอกาสที่ไม่ใช่เป็นการ
ส่วนตัว เช่น ในการเขียนจดหมายระหว่างเพื่อน การรายงานข่าว การเสนอบทความในหนังสือพิมพ์ เนื้อหาของสารอาจเป็นเรื่องทั่ว ๆ ไป ไม่จำกัดเฉพาะวิชาการ ภาษาที่ใช้อาจมีถ้อยคำที่เคยใช้กันเฉพาะกลุ่ม
5. ภาษาระดับกันเอง
ใช้ในวงจำกัดที่เป็นการส่วนตัว เช่น ภายในครอบครัว เพื่อนสนิท ที่บ้านหรือห้องที่เป็นสัดส่วนโดยเอกเทศ
เนื้อหาของสารเช่นเดียวกับภาษาระดับกันเองภาษาที่ใช้มักเป็นภาษาพูดเท่านั้น ไม่นิยมบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร นอกจากใช้ในนวนิยาย บทละคร หรือเรื่องสั้น อาจใช้คำสแลงหรือคำภาษาถิ่นปะปนบ้างก็ได้
ข้อควรสังเกตเกี่ยวกับการแบ่งระดับภาษา
1. การแบ่งระดับภาษาไม่เป็นการตายตัว ภาษาแต่ละระดับอาจมีการเหลื่อมล้ำคาบเกี่ยวกันบ้าง เช่น ภาษาระดับทางการกับภาษาระดับกึ่งทางการหรือภาษาระดับกึ่งทางการกับภาษาระดับไม่เป็นทางการ
หรือภาษาระดับไม่เป็นทางการกับภาษาระดับกันเอง
2. ภาษาทั้ง 5 ระดับ ไม่มีโอกาสใช้พร้อมกัน ระดับที่ใช้มาก คือ ภาษาระดับกึ่งทางการกับภาษาระดับไม่เป็นทางการ ส่วนภาษาระดับพิธีการมีโอกาสใช้น้อยและบางคนไม่นิยมใช้ภาษาระดับกันเอง
3. ภาษาบางระดับใช้แทนที่กันไม่ได้ เช่น ภาษาระดับพิธีการ,ภาษาระดับทางการ หรือภาษาระดับทางการ,ภาษาระดับกึ่งทางการจะใช้แทนภาษาระดับไม่เป็นทางการ,ภาษาระดับกันเองไม่ได้
4. การใช้ภาษาผิดระดับจะเป็นผลเสียต่อการสื่อสาร
http://www.thaigoodview.com/node/18424
ภาษาแบ่งออกเป็น ๕ ระดับ ดังนี้
1) ภาษาระดับพิธีการ
2) ภาษาระดับทางการ
3) ภาษาระดับกึ่งทางการ
4) ภาษาระดับสนทนาทั่วไป
5) ภาษาระดับกันเอง
การแบ่งระดับภาษาดังกล่าวนี้ โอกาสและบุคคลเป็นสิ่งที่ต้องพิจารณามากกว่าเรื่องอื่นๆ
1) ภาษาระดับพิธีการ
ภาษาระดับพิธีการเป็นภาษาที่ใช้ในงานระดับสูงที่จัดขึ้นเป็นพิธีการ
เช่น การกล่าวสดุดีกล่าวรายงาน กล่าวปราศรัยกล่าวเปิดพิธี
ผู้กล่าวมักเป็นบุคคลสำคัญ
บุคคลระดับสูงในสังคมวิชาชีพหรือวิชาการผู้รับสารเป็นแต่เพียงผู้ฟังหรือผู้รับรู้ไม่ต้องโต้ตอบเป็นรายบุคคล
หากจะมีก็จะเป็นการตอบอย่างเป็นพิธีการในฐานะผู้แทนกลุ่ม การใช้ภาษาระดับนี้ต้องมีการเตรียมล่วงหน้าเป็นลายลักษณ์อักษรซึ่งเรียกว่า
วาทนิพนธ์ก็ได้ ในการแต่งสารนี้มีคำต้องเลือกเฟ้น ถ้อยคำให้รู้สึกถึงความสูงส่ง
ยิ่งใหญ่จริงจังตามสถานภาพของงานนั้น
2) ภาษาระดับทางการ
ภาษาระดับทางการ ใช้ในงานที่ต้องรักษามารยาท
ในการใช้ภาษาค่อนข้างมากอาจจะเป็นการรายงาน การอภิปรายในที่ประชุม การปาฐกถา
ซึ่งต้องพูดเป็นการเป็นงาน อาจจะมีการใช้ศัพท์เฉพาะเรื่องหรือศัพท์ทางวิชาการบ้างตามลักษณะของเนื้อหาที่ต้องพูดหรือเขียน
3)
ภาษาระดับกึ่งทางการ
ภาษาระดับกึ่งทางการเป็นภาษาที่ใช้ในระดับเดียวกับภาษาทางการที่ลดความเป็นงานเป็นการลงผู้รับและผู้ส่งสารมีความใกล้ชิดกันมากขึ้น
มีโอกาสโต้ตอบกันมากขึ้น ภาษาระดับนี้มักใช้ในการประชุมกลุ่ม การบรรยายในชั้นเรียน การให้ข่าว
การเขียนข่าว หรือบทความในหนังสือพิมพ์ ซึ่งนิยมใช้ถ้อยคำ สำนวน
ที่แสดงความคุ้นเคยกับผู้อ่านหรือผู้ฟังด้วย
4)
ภาษาระดับสนทนาทั่วไป
ภาษาระดับสนทนาทั่วไป เป็นภาษาระดับที่ใช้ในการพูดคุยกันธรรมดา
แต่ยังไม่เป็นการส่วนตัวเต็มที่ยังต้องระมัดระวังเรื่องการให้เกียรติคู่สนนา
เพราะอาจจะไม่เป็นการพูดเฉพาะกลุ่มพวกของตนเท่านั้นอาจมีบุคคลอื่นอยู่ด้วย
หรืออาจมีบุคคลต่างระดับร่วมสนทนากัน จึงต้องคำนึงถึงความสุภาพมิให้เป็นกันเองจนกลายเป็นการล่วงเกินคู่สนทนา
5) ภาษาระดับกันเอง หรือระดับภาษาปาก
ภาษาระดับกันเองเป็นภาษาที่ใช้สื่อสารกับผู้คุ้นเคยสนิทเป็นกันเอง
ใช้พูดจากันในวงจำกัดอาจจะเป็นกลุ่มเพื่อนฝูง ครอบครัว สถานที่ใช้ก็มักเป็นส่วนตัว
เป็นสัดส่วนเฉพาะกลุ่ม เฉพาะพวก ได้แก่ ภาษาถิ่น ภาษาสแลง
ภาษาที่ใช้ติดต่อในตลาดในโรงงาน ร้านค้า ภาษาที่ใช้ในการละเล่น
หรือการแสดงบางอย่างที่มุ่งให้ตลกขบขัน เช่น จำอวด ฯลฯ
การใช้ภาษาทุกระดับไม่ว่าจะเป็นภาษาระดับสนทนาหรือระดับกันเอง
ผู้ใช้ควรคำนึงถึงมารยาทซึ่งเป็นทั้งการให้เกียรติผู้อื่นและการรักษาเกียรติของตนเอง
เพราะเป็นเครื่องแสดงว่า บุคคลนั้นเป็นผู้ได้รับการอบรมสั่งสอนมาดี
เป็นผู้มีสมบัติผู้ดี และมีจิตใจดี
https://krusurang.wordpress.com/
สรุป
แบ่งออกมี 5 ระดับ คือ 1) ภาษาระดับพิธีการ2) ภาษาระดับทางการ3) ภาษาระดับกึ่งทางการ4) ภาษาระดับสนทนาทั่วไป5) ภาษาระดับกันเอง
ทักษะการสอนและเทคนิคการสอน
ทักษะการสอนและเทคนิคการสอน
ทักษะ
คือ การพูดของผู้สอนว่ามีเนื้อหาที่น่าสนใจและวิธีการพูดโน้มน้าวผู้เรียนต่างๆและทักษะการเคลื่อนไหว
ผู้สอนควรจะเคลื่อนไหว
ผู้สอนอย่างไรให้เหมาะสมกริยาท่าทางต่างๆที่ผู้สอนเคลื่อนไหวในชั้นเรียนและตลอดเวลาการสอนและหมายถึงความคล่องแคล้ว
ความชำนาญในการสอน
เทคนิค คือ
กลวิธีและรูปเล่มที่ใช้เสริมกระบวนการสอน ขั้นตอนหรือกระบวนการต่างๆ การสอน
คือ การถ่ายทอดความรู้ ประสบการณ์
ความสำคัญของทักษะการสอน
1.ถ้าเรามีทักษะการสอนเราสามารถสอนได้
และส่งเสริมความชำนาญ
2.ทักษะนับเป็นจุดมุ่งหมายหมวดหนึ่งของการศึกษาครูจะฝึกควบคู่กับความรูและเจตคติ
3.ช่วยให้เกิดความมั่นใจ
ความคล่องแคล่วในการสอน
4.ช่วยไม่ให้เกิดความผิดพลาดในการสอน
เพราะถ้าผิดพลาดเด็กจะเข้าใจในการสอน
5.ช่วยให้สอนบรรลุตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้
6.ช่วยให้เกิดความชื่นชม
ศรัทธาจากผู้เรียนเพราะผู้สอนสามารถสอนได้กระฉับกระเฉงถูกต้อง
7.ช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพและสามารถพัฒนาการสอน
ทักษะการสอนพื้นฐาน
หมายถึงความสามารถความชำนาญในการสอน ไม่สามารถเกิดขึ้นเองได้แต่ต้องอาศัยการฝึกฝน
และการที่ครูจะมีความสามารถในการใช้ทักษะให้ได้ผลนั้นต้องมีการแยกทักษะแต่ละลักษณะให้ชำนาญเสียก่อน
1.ทักษะการนำสู่บทเรียน
จุดมุ่งหมาย
1.เพื่อให้นักเรียนเกิดความพร้อมในการที่จะเรียน
2.เพื่อโยงประสบการณ์จากเดิมของผู้เรียนเข้ากับประสบการณ์ที่จะสอน
3.เพื่อจัดบรรยากาศของการเรียนให้เป็นที่น่าสนใจ
4.กำหนดขอบเขตของบทเรียนว่าจะเรียนอะไร
แค่ไหน
5.เพื่อให้ผู้เรียนรู้ความหมาย
ความรู้ความคิดรวมยอด หลักการของบทเรียนใหม่
ทักษะการนำเข้าสู่บทเรียน
1.ก่อนเริ่มบทเรียน
2.ก่อนเริ่มอธิบายและซักถาม
3.ก่อนจะตั้งคำถาม
4.ก่อนจะให้นักเรียนอธิบาย
5.ก่อนจะให้นักเรียนดูภาพยนต์
6.ก่อนทำกิจกรรมต่างๆ
เทคนิคการนำเข้าสู่บทเรียน
1.ใช้อุปกรณ์การสอน เช่นของจริง
รูปภาพ แผนที่ แผนภูมิ
2.ลองให้นักเรียนลองทำกิจกรรมบ้าง
อย่างมีสัมพันธ์กับบทเรียน การให้นักเรียนลองใส่RAMในคอมพิวเตอร์
3.ใช้เรื่องเล่านิทานหรือเหตุการณ์ต่างๆเพื่อนำสู่บทเรียน
4.ตั้งปัญหา ทายปัญหา
เพื่อเร้าความสนใจ
5.สนทนาซักถามเรื่องต่างๆเพื่อนำสู่บทเรียน
6.ทบทวนบทเรียนเดิมที่สัมพันธ์กับบทเรียนใหม่
7.แสดงละคร
8.ร้องเพลง
เป็นเพลงเกี่ยวกับเรื่องที่สนใจ
9.สาธิต ซึ่งอาจสาธิตโดยครู
10.ทำสิ่งที่แปลกไปตามเดิมเพื่อเรียกร้องความสนใจ
11.ให้นักเรียนฟังเพลงต่างๆเช่นเสียงดนตรี
2.ทักษะการใช้กริยาวาจา
ท่าทางการสอน
การใช้กริยาวาจานับว่าเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งของครู
เพราะนักเรียนจะเกิดความพอใจและสนใจที่จะเรียน
บุคลิกภาพเป็นสิ่งสำคัญอย่างหนึ่งของครู
รวมทั้งความสามารถในการสื่อความหมายระหว่างครูกับนักเรียน
ไม่ให้เกิดความเบื่อหน่าย
เทคนิคการใช้กริยา และท่าทางประกอบในการสอน
1.การเคลื่อนไหวและเปลี่ยนอิริยาบท
เข้ามาในห้องครูควรเดินด้วยท่าทางที่เหมาะสมสง่างาม
ดูเป็นธรรมชาติ และครูควรเดินดูนักเรียนให้ทั่วถึง
เป็นการให้ความช่วยเหลือในสิ่งที่นักเรียนไม่เข้าใจ
2.การใช้มือและแขน
เป็นสิ่งดึงดูดความสนใจของนักเรียน
เพราะนักเรียนชอบดูความสนใจสิ่งที่เคลื่อนไหวมากกว่าสิ่งที่นิ่ง
การใช้มือและแขนควรสัมพันธ์กับเรื่องจะสอน มองดูไม่ขัดตา
ควรให้เหมาะสมกับโอกาสและเนื้อหาที่จะสอน และให้มีลักษณะการใช้ที่เป็นธรรมชาติ
3.การแสดงออกสีหน้าสายตา
ช่วยในการสื่อความหมายของผู้เรียน ในการแสดงออกสีหน้าของครู
โดยทั่วไปครูที่ดีของครูควรมีใบหน้าที่แสดงออกถึงความเป็นมิตร ความรัก
ความเห็นอกเห็นใจและครูควรกวาดสายตาไปให้นักเรียน
4.การทรงตัวและวางท่าทาง
ควรวางท่าให้เหมาะสม ไม่ตึงเครียด
หรือเกร็งเกินไปควรวางตัวให้เป็นธรรมชาติ
5.การใช้น้ำเสียง
ครูควรใช้น้ำเสียงที่น่าสนใจ เสียงดังฟังชัด
ออกเสียง ร ให้ชัดเจนต้องใช้น้ำเสียงนุ่มนวล ไม่แสดงอารมณ์ที่ไม่สมควรออกทางน้ำเสียง
6.การแต่งกาย
เป็นสิ่งสำคัญและดึงดูดความสนใจของนักเรียน
ควรแต่งกายให้เรียบร้อยเหมาะสม
เพราะถ้าครูแต่งสวยเกินไปนักเรียนก็จะให้ความสนใจกับการแต่งกายของครูมากกว่าบทเรียน
3.ทักษะการอธิบาย
เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้สอนเป็นการบอกการเล่าให้เห็นตามลำดับขั้นตอนการสอนและการอธิบายควรมีการยกตัวอย่าง
มี 2ทางคือ
1แบบนิรนัย
โดยบอกแล้วยกตัวอย่างขยายกฎหรือหลักการนั้นๆให้เข้าใจ ทฤษฎีหลักการ
2.แบบอุปนัย
การยกตัวอย่างรายละเอียดย่อยๆ แล้วให้เด็กคิดวิเคราะห์รวบรวมเป็นหลักการ
ลักษณะการอธิบาย
ใช้เวลาอธิบายไม่เกิน10 นาที
ควรใช้ภาษาที่ง่ายๆที่เด็กเข้าใจง่ายควบคลุมใจความสนใจเรื่องยากไปง่ายและอธิบายตามแนวคิดของนักเรียนเราจะรู้ว่าเด็กเด็กเข้าใจหรือไม่เข้าใจและครูควรสรุปผลการอธิบายให้เด็กนักเรียนเข้าใจด้วย
4.ทักษะการเร้าความสนใจ
เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยในการเรียนการสอนประสบผลดี
เพราะจะช่วยให้ครูปรับปรุงกลวิธีการสอน
ประโยชน์
1.เด็กเกิดความพร้อมที่จะเรียนมากขึ้น
2.เด็กมีความสนใจในบทเรียนอย่างสม่ำเสมอ
3.ทำให้ครูมีความสนใจในการสอนและเด็กสนใจเรียน
เทคนิคการเร้าความสนใจ
1.การใช้ ท่าทางประกอบการสอน
2.การใช้ถ้อยคำและน้ำเสียง
ถ้อยคำน้ำเสียง ควรกระตุ้นให้ผู้เรียนสนใจ
3.การเคลื่อนไหว ขณะสอน
ครูควรเปลี่ยนจุดนั่ง และจุดยืนของตน ภาพเคลื่อนไหวย่อมมีชีวิตมากกว่า
และน่าสนใจกว่า
4.การเน้นจุดสำคัญ ต้องใช้ลีลา
น้ำเสียง และการเว้นระยะการพูดหรือการอธิบาย
5.ทักษะการใช้คำถาม
เป็นสิ่งสำคัญในการสอน
เฉพาะอย่างการใช้คำถามให้เด็กคิดเห็น
สติปัญญาเป็นผู้ตามต้องเข้าใจจัดประสงค์ของคำถาม และไม่ควรเป็นคำถามที่อธิบาย
แต่ควรเป็นคำถามที่เน้นวิเคราะห์
ประเภทคำถาม
1.คำถามที่ใช้ความคิดพื้นฐาน
เป็นคำถามง่ายๆ ไม่ต้องคิดลึกซึ้ง
คำถามที่ขยายความคิด
เมื่อให้เด็กมองสิ่งที่เรียนอยู่และขยายความในสิ่งที่นำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้
คำถามประเภทได้แก่ การคาดคะเน เป็นคำถามเชิงสมมุติฐาน คาดการณ์
ซึ่งคำตอบย่อมเป็นไปได้หลายอย่าง
–
คำถามที่ใช้การวางแผนเป็นคำถามที่เสนอแนวคิดทางโครงการหรือเสนอแผนงานใหม่
–
การวิจารณ์เป็นคำถามที่ผู้ตอบพิจารณ์เรื่องราวหรือเหตุการณ์ในจุดสำคัญ
–
การประเมินค่าว่านักเรียนชอบสิ่งไหนมากกว่ากัน
เทคนิคการใช้คำถาม
1.
ถามด้วยความสนใจ
2.
ถามอยางกลมกลืน
3.
ถามโดยใช้ภาษาที่พูดเข้าใจง่าย
4.
การให้นักเรียนมีโอกาสตอบหลายคนในการสอน
5.
การเลือกถาม
ควรถามผู้เรียนที่อ่อนเพื่อกระตุ้นให้ผู้เรียนเข้าใจดังนี้
6.
การเสริมกำลังใจ
หรือให้ผลย้อนกลับ ควรให้คำชมเชยกับเด็กที่ตอบคำถาม
7.
การใช้คำถามหลายๆประเภทในการสอนแต่ละครั้ง
8.
การใช้กิริยาท่าทางเสียงในการประกอบคำถาม
9.
การใช้คำถามเชิงรุก
การใช้คำถามต่อเนื่องอีก เพื่อให้ผู้เรียนได้ความรู้และขยายความคิด 6.ทักษะ การใช้อุปกรณ์การสอน
ประโยชน์ของอุปกรณ์การสอน
1.
เพื่อกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดความสนใจในการเรียน
2.
เพื่อให้โอกาสแก่ผู้เรียนได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนการสอน
3.
ทำให้ผู้เรียนเกิดแนวคิด
4.
ทำให้เกิดทักษะการศึกษาหาความรู้
5.
ทำให้ผู้เรียนสามารถจดจำเรื่องราวต่างๆได้นาน
6.
ช่วยเพิ่มพูนประสบการณ์
เทคนิคการใช้อุปกรณ์
1.
ใช้อุปกรณ์อย่างคล่องแคล่ว
2.
แสดงอุปกรณ์ให้เห็นชัดทั่วห้อง
3.
ควรหาที่ตั้ง แขวนอุปกรณ์ที่มีขนานใหญ่
4.
ควรใช้ไม้ยางและมีปลายแหลมชี้แผนภูมิ
5.
ควรนำอุปกรณ์มาวาง เรียงกันไว้เป็นลำดับก่อนถึงเวลาสอนเพื่อสะดวกในการหยิบใช้
6.
ควรเลือกใช้เครื่องมือประกอบการใช้อุปกรณ์ที่เหมาะสม
7.
ควรมาการเตรียมผู้เรียนก่อนล่วงหน้าการใช้อุปกรณ์
8.
ควรใช้อุปกรณ์ให้คุ้มค่ากับที่เตรียมมา
9.
พยายามเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ร่วมกิจกรรม
10.
ควรคำนึงถึงความปลอดภัยในการใช้อุปกรณ์บางชนิด
7ทักษะและเทคนิคการใช้กระดานดำ
1.
ครูควรทำความสะอาดกระดานดำทุกครั้งที่เข้าสอน
2.
การเรียนควรแบ่ง3ส่วนหรือ4ส่วน
หรือขึ้นอยู่กับเนื้อหาที่จะเขียน
3.
ในการเรียนควรเขียนจากซ้ายมือไปขวามือ
4.
ถ้ามีหัวข้อเรื่อง
ชื่อเรื่องควรไว้ตรงกลางกระดานดำในส่วนที่เราแบ่งไว้
5.
ขณะเขียนต้องแบ่งกระดานพอประมาณ
6.
ในการเขียนหนังสือ
ต้องให้เป็นเส้นตรงไม่คดเคียว
7.
ถ้าต้องการอธิบายข้อความบนการดานดำ
ไม่ควรยืนมาก
8.
ถ้ามีข้อความสำคัญ
อาจใช้ชอล์กขีดเส้นใต้
9.
ควรใช้ชอล์กสี
เมื่อต้องการเน้นข้อความโดยเฉพาะ
10.
เขียนคำตอบของผู้เรียนลงกระดาน
เพื่อเสริมกำลังใจ
11.
ใช้เครื่องมือในกานเขียนรูปทรงบนกระดาน
12.
เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้มีส่วนร่วมในการใช้กระดานดำด้วย
13.
ถ้ามีเรื่องใหม่ควรลบของเก่าออกให้หมด
14.
การลบกระดานต้องลบให้ถูกวิธี
โดยลบกระดานจากบนลงล่างและลบไปทางเดียวกัน
8.ทักษะการเสริมกำลังใจ
ประเภทการเสริมกำลังใจ
1.
ความต้องการภายใน
เช่น ความพอใจ
2.
การเสริมกำลังใจภายนอก
เช่น การชมเชย การให้รางวัล ได้แก่
–
การเสริมกำลังใจโดยให้นักเรียนมีส่วนร่วม ในการชมเชย เช่นตบมือ
–
การเสริมกำลังไว้โดยการให้รางวัล
–
โดยการให้ผู้เรียนเห็นความต้องการของตนเอง
9.ทักษะการสรุปบทเรียน
– เป็นการสอนที่ผู้สอนพยายามให้นักเรียนรวบรวมความคิด
ความเข้าใจของตนจากการเรียนรู้ที่ผ่านมา ว่าได้สาระสำคัญหลักเกณฑ์
ข้อเท็จจริง
– การสรุปบทเรียนเป็นสิ่งที่ต้องทำคู่กับการสอน
รูปแบบการสรุปบทเรียน มี 2 รูปแบบ คือ
1.
การสรุปคิดเนื้อหาสาระ
2.
การสรุปคิดความเห็น
เทคนิคการสรุปบทเรียน
1.
สรุปโดยการอธิบาย
2.
2.
สรุปโดยใช้อุปกรณ์
3. สรุปโดยการ
1.
สรุปโดยการเล่านิทาน
2.
5. สรุปโดยการสร้างสถานการณ์
3.
6.
สรุปโดยการสาธิต
ทักษะและเทคนิคการสอน
ความหมายทักษะ หมายถึง ความสามารถ ความชำนิชำนาญ
และความคล่องแคล่วว่องไว ซึ่งเป็นสิ่งที่บุคคลได้เรียนรู้ที่จะทำด้วยความรวดเร็ว
แม่นยำถูกต้อง ซึ่งอาจจะเป็นทางร่างกาย หรือสมอง ในระยะที่รวดเร็ว เช่น
ความสามารถในการคิดเลขได้รวดเร็ว การวาดภาพเร็ว ทักษะเป็นคำที่นำมาจากรากศัพท์ ภาษาสันกฤต
และในวิชาการศึกษาได้แปลมาจากคำว่า Skill ซึ่งมีความหมายถึง
ความสามารถ ขยันหมั่นเพียร ความคล่องแคล่ว แข็งแรง นอกจากนี้พจนานุกรมไทยได้ให้ความหมายของทักษะไว้ว่าเป็นความชำนาญ
และความสามารถในการปฏิบัติงานอย่างใดอย่างหนึ่ง ในเวลารวดเร็วและเกิดประสิทธิภาพ
ในเรื่องนี้ กู๊ด ( Capenter V.good : 1973 ) ได้ให้ความหมายของทักษะไว้ในหนังสือ Dichinary of
Eduoalion ความว่า เป็นสิ่งที่บุคคลได้เรียนรู้ที่กระทำด้วยความยาก
ง่าย แม่นยำ อาจจะทางด้านร่างกาย สมองก็ได้ หรือ ทักษะ หมายถึง
ความชัดเจน ความกลมกลืนในการใช้นิ้วมือ นิ้วเท้า มือ เท้า และสายตา
สรุป ความหมายของทักษะ หมายถึง ความสามารถ
ความชำนาญในการกระทำบางสิ่งบางอย่างได้เป็นอย่างดีด้วยความถูกต้อง แม่นยำ
ในระยะเวลาที่รวดเร็ว เช่น ความสามารถในการอ่านเร็ว ทำงานเร็ว เป็นต้น
อย่างมีประสิทธิภาพ
ทักษะการสอนมีความสำคัญต่อการสอนมาก จากผลการวิจัยของ แอน พินิจด้า ได้ทำความวิจัยเรื่อง
ความคิดเห็นของศึกษาวิทยาลัยครู เกี่ยวกับทักษะการสอนในการฝึกประสบการณ์วิชาชีพกล่าวว่า
การฝึกทักษะการสอนเป็นการเปิดโอกาสให้นักศึกษาวิชาครูได้มีการฝึกทักษะการสอนก่อนออกฝึกจริง
เพราะช่วยให้นักศึกษาได้มีความตระหนักถึงการให้นักเรียนมีส่วนร่วมในการเรียนการสอน
และจะนำประสบการณ์ที่ได้จากการฝึกทักษะการสอนไปใช้ในการฝึกสอน
นอกจากนี้ผู้ตอบแบบสอบถามยังกล่าวถึงในด้านการนำผลการฝึกทักษะการสอนไปใช้ในการปรับปรุงตัวเองมีการเสริมกำลังใจนักเรียน
มีการจัดเตรียมสื่อการสอนให้เหมาะสมกับบทเรียนนักศึกษาได้เรียนรู้การเร้าความสนใจ
ช่วยทำให้มีการปรับปรุงวิธีการสอนอยู่ตลอดเวลา
เพราะลักษณะการสอนเป็นองค์ประกอบที่สำคัญยิ่งสำหรับประสิทธิภาพในการสอน
ทำให้ผู้ฝึกเกิดสมรรถภาพในการสอนเพิ่ม
เนื่องจากจะช่วยให้ผู้ฝึกมีทักษะในการแก้ปัญหาการใช้กระดานดำ
การสอนเพื่อพัฒนาความคิดสร้างสมดุล เป็นต้น
เทคนิคการสอน คือ
กลวิธีต่างๆที่ใช้เสริมกระบวนการ ขั้นตอน วิธีการ หรือการกระทำใดๆ
เพื่อช่วยให้กระบวนการ ขั้นตอน วิธีการหรือการกระทำนั้นๆ
มีคุณภาพและประสิทธิภาพมากขึ้น
เทคนิคการสอนแนวใหม่
คุณภาพของผู้เรียนนั้นนอกจากจะเกี่ยวข้องกับองค์ประกอบในตัวผู้เรียนเอง
เช่น ความพร้อม สติปัญญา เจตคติ และสภาพแวดล้อมอื่น ๆ แล้ว
กระบวนการเรียนการสอนที่ครูจัดให้ก็นับว่าเป็นสิ่งสำคัญยิ่งต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียนเช่นกัน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำนวัตกรรมต่างๆ
มาใช้ในการจัดการเรียนการสอนเพื่อให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้
เข้าใจในสิ่งที่ต้องการให้ผู้รู้นั้นนับว่าเป็นอีกก้าวหนึ่งของการพัฒนาคุณภาพของผู้เรียน
ดังนั้นเพื่อให้เกิดประโยชน์โดยตรงต่อการส่งเสริมให้ผู้สอนได้เห็นแนวทางในการสอนให้มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้นความรู้เรื่อง
เทคนิคการสอนแนวใหม่จึงมีความจำเป็นที่ผู้สอนควรจะศึกษาเพื่อจะเป็น “ ผู้สอนในยุคโลกาภิวัตน์ ”เทคนิคการสอนแนวใหม่ที่นิยมใช้ในปัจจุบัน และใช้ได้ผล
ประกอบด้วยเทคนิคการสอนดังต่อไปนี้
1. เทคนิคการสอนแบบทำงานรับผิดชอบร่วมกัน (
Co – operative Leaning ) ความหมาย เป็นการจัดประสบการณ์เรียนรู้ที่ผู้เรียนทำงานร่วมกันและช่วยเหลือกันในชั้นเรียน
ซึ่งจะสร้างบรรยากาศที่ดีในชั้นเรียน
และยังเพิ่มปฏิสัมพันธ์ที่ยอมรับซึ่งกันและกันสร้างความภาคภูมิใจให้ผู้เรียนทุกคน
นอกจากนี้ยังเพิ่มผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนอีกด้วย เพราะในชั้นเรียนมีความร่วมมือ
ผู้เรียนจะได้ฟัง เขียน อ่าน ทวนความ อธิบาย และปฏิสัมพันธ์
ผู้เรียนจะเรียนด้วยการลงมือกระทำ
ผู้เรียนที่มีจุดบกพร่องจะได้รับการช่วยเหลือจากเพื่อนในกลุ่ม
ความมุ่งหมายของการสอน ความมุ่งหมายของการเรียนแบบทำงาน รับผิดชอบร่วมกัน
คือ การให้สมาชิกทุกคนใช้ความสามารถอย่างเต็มที่ในการทำงานกลุ่ม
โดยยังคงรักษาสัมพันธภาพที่ดีต่อสมาชิกกลุ่ม ในการเรียนเป็นกลุ่มแบบเดิมนั้น
จุดมุ่งหมายอยู่ที่การทำงานให้สำเร็จเท่านั้น
ขั้นตอนการสอนมี 5 ชั้น ดังนี้
1. แนะนำ
ด้วยการบอกว่าชั้นเรียนแบ่งเป็นกี่กลุ่ม กลุ่มละกี่คน สมาชิกแต่ละคนต้องรับผิดชอบที่จะเรียนเกี่ยวกับหัวข้อที่กลุ่มได้รับให้ได้มากที่สุด
แต่ละกลุ่มเป็นผู้เชี่ยวชาญในหัวข้อนั้น มีหน้าที่จะสอนกลุ่มอื่น ๆ ดัวย
ทุกคนจะได้รับเกรดรายบุคคล และเป็นกลุ่ม
2. แบ่งกลุ่มให้คละกัน
แล้วให้กลุ่มตั้งชื่อกลุ่ม เขียนชื่อกลุ่ม และสมาชิกบนป้ายนิเทศ
ผู้สอนแจ้งกฎเกณฑ์ที่ต้องปฏิบัติระหว่างการประชุมกลุ่ม
ก. ห้ามคนใดออกจากกลุ่มก่อนที่จะเสร็จงานกลุ่ม
ข. แต่ละคนในกลุ่มต้องรับผิดชอบที่จะให้สมาชิกทุกคนเข้าใจและทำงานให้เสร็จสมบูรณ์
ค. ถ้าผู้เรียนคนใดไม่เข้าใจเรื่องใด
ต้องขอความช่วยเหลือจากเพื่อนในกลุ่มก่อนที่จะถามผู้สอน
3. สร้างกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ
โดยผู้สอนแจกเอกสารหัวข้อต่าง ๆ ซึ่งภายในบรรจุด้วย
เนื้อหา ถ้ามีกลุ่ม 6 กลุ่ม
ผู้สอนต้องเตรียมเอกสาร 6 ชุด
ผู้เรียนที่ได้รับหัวข้อเดียวกันจะศึกษาเรื่องนั้นด้วยกัน เมื่อทุกคนเข้าใจดีแล้ว
ก็เตรียมตัววางแผนกการสอนเพื่อกลับไปสอนสมาชิกในกลุ่มเดิมของตน
4. ผู้เชี่ยวชาญสอนเพื่อนในกลุ่ม
ทุกคนจะผลัดกันสอนเรื่องที่ไปศึกษามาตรวจสอบความเข้าใจ
และช่วยเพื่อนสมาชิกในการเรียน
5. ประเมินผลและให้คะแนนแต่ละคน
ผู้สอนทำการทดสอบเพื่อดูว่าต้องสอนเพิ่มเติมหรือไม่ให้เกรด และคิดคะแนนกลุ่ม
http://www.lit.ac.th/kmlearning/articleview.php?aid=550024&pn=1
สรุป
ทักษะและลีลาในการสอน คือ
การสร้างแรงจูงใจให้ผู้เรียนสนใจในสิ่งที่เรากำลังสอนหรือทำให้เขาสนใจที่จะเรียนรู้
http://juraiwankie.blogspot.com/2015/09/1.html
ตอบลบ